เบญจราชกกุธภัณฑ์ ของล้ำค่าของปวงชนชาวไทย

ณ วันที่ 03/04/2555

เชื่อว่าทุกท่าน คงจะเคยเห็นเครื่องทรงขององค์พระมหากษัตริย์  จากภาพในหนังสือหรือจากโทรทัศน์ที่มีการถ่ายทอดงานพระราชพิธีต่างๆ  ซึ่งทำจากทองคำหรือใช้ทองคำประดับประดางามตาอย่างยิ่ง  เนื่องในพระราชพิธีฉัตรมงคล  วันที่ 5 พฤษภาคม 2547 นี้ “วารสารทองคำ” จึงขอนำเสนอเรื่องราว “เครื่องราชกกุธภัณธ์” เครื่องหมายแห่งความเป็ฯพระราชาธิบดี  ซึ่งใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก  โดยได้รับความกรุณาจาก รศ.ธงทอง  จันทรางศุ  รองปลัดกระทรวงยุติธรรม  เล่ารายละเอียดความเป็นมาของเครื่องราชกกุธภัณฑ์  สิ่งล้ำค่าของคนไทย  เป็นวิทยาทาน

 

ความสำคัญของ “เบญจราชกกุธภัณฑ์”

          เครื่องราชกกุธภัณฑ์  เป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นพระราชาธิบดี ประกอบด้วย 5 สิ่งรวมเรียกว่า “เบญจราชกกุธภัณฑ์”  สำหรับเบญจราชกกุธภัณฑ์  ตามวรรณคดีต่างๆ ทางพุทธศาสนา เช่น อรรถถาปปัญจสูทนีภาค 3 อรรถกถาสมันตปาสาทิกา  ภาค 1 มหาวงศ์ ทีปวงศ์ อภิธานัปปทีปิกาสังกิจชาดก  กล่าวว่า เบญจราชกกุธภัณธ์  ประกอบด้วย  ฉัตร, วาลวิชนี, พระขรรค์, อุณหิส, และบาทุกา  แต่ของไทยจะประกอบด้วย  พระมหาพิชัยมงกุฎ  วาลวิชนี  พระแส้และพระจามรี  พระแสงขรรค์ชัยศรี  ธารพระกร  และฉลองพระบาท

          ในสมัยอยุธยาเครื่องราชกกุธภัณฑ์นับเป็นของจำเป็นและของใช้ในพิธีบรมราชาภิเษก  โดยจะใช้เมื่อเวลาที่พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ก่อนสิ้นรัชกาลลง  และพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่เสวยราชย์  และเมื่อเราเสียกรุงศรีอยุธยาในปีพุทธศักราช 2310 คาดว่าสิ่งของเหล่านี้ได้สูญหายไป  ฉะนั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  ทรงสถาปนากรุงเทพฯขึ้นเป็นนครราชธานี  พระองค์ได้ทรงสร้างเบญจราชกกุธภัณฑ์สำรับใหม่ขึ้นและได้มีพระราชพิธีบรมราชาพิเษกในปี 23281

          ทั้งนี้พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์  จะต้องผ่านกระบวนการพิธีที่เรียกว่า “บรมราชาภิเษก” ก่อน คือการรับสมมติขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินเพื่อเป็นพระเกียรติยศ  ในพิธีจะมีการถวายเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์เช่นเดียวกับชาวยุโรปที่สวมมงกุฎ  แต่ของไทยจะไม่ใช้วิธีการสวมพระมหาพิชัยมงกุฎ  เนื่องจากหัวใจสำคัญของพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอยู่ที่การถวายน้ำอภิเษก  หลังการถวายน้ำอภิเษกแล้วจึงถวายของซึ่งสิ่งของเหล่านี้นับเป็นของสำคัญสำหรับบ้านเมืองมาโดยตลอด

          “หากพระเจ้าแผ่นดินยังไม่ได้ทำพิธีบรมราชาภิเษก  หรือยังไม่ได้รับเบญจราชกกุธภัณฑ์  พระเกียรติยศจะยังไม่เต็มที่  เป็นต้นว่า  ยังไม่ออกพระนามว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  เรียกเพียงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ฉัตรก็เพียง 7 ชั้น  เพราะฉัตร 9 ชั้นจะถวายนพิธีบรมราชาภิเษก  คำสั่งของพระเจ้าแผ่นดินจะเรียกเพียงพระราชโองการ  ไม่ใช้พระบรมราชโองการ  ด้วยเหตุนี้พระปฐมบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ที่ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม  เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”  เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2493 นั้น  เป็นพระราชกระแสรับสั่งหลังจากผ่านพิธีเหล่านี้แล้วจึงเรียกว่า  พระปฐมบรมราชโองการ  เพราะเป็นพระบรมราชโองการองค์แรก  ก่อนหน้านั้นเป็นเพียงแต่เพียงพระราชโองการ     

องค์ประกอบของเบญจราชกกุธภัณฑ์

          ในพระราชวงศ์จักรีมีพิธีบรมราชาภิเษกแล้วทั้งหมด 8 รัชกาล  ยกเว้นเพียงรัชกาลที่ 8 ที่ไม่ได้ใช้เนื่องจากเสด็จสวรรคก่อนโดยยังไม่ได้ผ่านพระราชพิธีบรมราชาภิเษก  และในแต่ละปีจะมีการเชิญเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ออกมาสมโภช  ในพระราชพิธีฉัตรมงคล  วันที่ 5 พฤษภาคม ของทุกปี  โดยจะประดิษฐานบนพระแท่นราชบัลลังก์ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท

          สำหรับประวัติความเป็นมาของเบญจราชกกุธภัณฑ์  ซึ้งประกอบด้วย  พระมหาพิชัยมงกุฎ  วาลวิชนี พระแส้และพระจามรี  พระแสงขรรค์ชัยศรี  ธารพระกร  และฉลองพระบาท  มีดังนี้

                                               พระมหาพิชัยมงกุฎ  สูง 66 เซนติเมตร  หนัก 7,300 กรัม  สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 สำหรับเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก  ทำด้วยทองคำลงยาราชาวดี  สองข้างมีจอนหูทำด้วยทองคำลงยาราชาวดีเช่นกัน  แต่ละชั้นประดับด้วยดอกไม้เพชร  เดิมยอดพระมหาพิชัยมงกุฎเป็นยอดแหลมพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ  ให้พระราชสมบัติ  ไปหาซื้อเพชรจากเมืองกัลกัตตา  ประเทศอินเดีย  และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ติดไว้ที่ยอดพระมหามงกุฎ  โดยพระราชทานนามว่า “มหาวิเชียรมณี”

          พระมหาพิชัยมงกุฎนี้  แต่เดิมเวลาทำพิธีบรมราชาภิเษก  พระมหากษัตริย์ก็ทรงรับจากพราหมณ์แล้วทรงใช้  ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  จึงทรงอนุโลมตามแบบประเทศตะวันตกให้ถือว่าขณะที่สวมพระมหามงกุฎเป็นตอนสำคัญที่สุดของพิธี  พราหมณ์เป่าสังข์  ไกวบัณเฑาะว์มีการประโคม  ยิงสลุต  และพระสงฆ์สวดชัยมงคลทั่วราชอาณาจักร

         

 

วาลวิชนี  แปลกันเป็น 2 อย่าง คือ เป็นพัด  เป็นแส้  ของไทยเราเดิมเป็นพัดใบตาล  อย่างที่เรียกว่าพัชนีฝักมะขาม  ทำขึ้นครั้งรัชกาลที่ 1 สำหรับเป็นหนึ่งในเบญจราชกกุธภัณฑ์  ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ทรงพระราชดำริเห็นว่าพัดใบตาลไม่ถูกต้อง  เพราะพระบาลี  แปลว่า วาลวิชนี  วาลเป็นขนโคชนิดหนึ่งซึ่งฝรั่งเรียก Yak จึงทรงทำแส้ขนจามรีขึ้นแต่ไม่ทรงอาจให้เปลี่ยนพัดของเก่า  จึงใช้ไปด้วยกัน  ปัจจุบันใช้พระแส้ขนหางช้างด้ามทองคำแทนพระแส้จามรีที่ชำรุดมาก

วาลวิชนีมีลักษณะเป็นพัดทำด้วยใบตาลปิดทอง  มีขอบและด้ามเป็นทองคำลงยา  ส่วนแส้  ในที่นี้เป็นของที่ทำมาแทนแส้จามรีของรัชกาลที่ 4 ที่ด้ามเป็นแก้วผลึก

         

พระแสงขรรค์ชัยศรี  ยามเฉพาะองค์ 65 เซนติเมตร  ด้าม 25.5 เซนติเมตร  ฝัก 75.5 เซนติเมตร  ยาวตลอองค์ 101 เซนติเมตร  หนัก 1900 กรัม

          สำหรับพระขรรค์องค์นี้ใบพระขรรค์เป็นของเก่า  ชาวประมงทอดแห่ได้ที่ทะเลสาบนครเสมราฐ เมื่อพุทธศักราช 2327 เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์(แบน) ให้พระยาพระเขมร  เชิญเข้ามาทูลเกล้าฯ ถวาย  สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  โปรดเกล้าฯให้ทำด้ามและฝักขึ้นด้วยทองคำลงประดับอัญมณีใช้เป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์สืบมา

          พระขรรค์นี้เมื่อเชิญมาถึงกรุงเทพฯมือสนีบาตตกถึง 7 แห่ง  จำนวนนี้มีตกในพระบรมมหาราชวังถึง 2 แห่ง  คือที่ประตูวิเศษชัยศรี  และพิมานชัยศรี  ซึ่งเป็นเหตุให้ประตูทั้งสองได้สร้อยชัยศรีตามชื่อพระขรรค์องค์นี้ด้วย

          พระแสงขรรค์ชัยศรีมีลักษณ์ดังนี้  ตัวพระขรรค์เป็นเหล็กแหลมกล้ามีสองคม  โคนพระขรรค์คร่ำทองจำหลักรูปเทพเจ้าในศาสนาฮินดู   ประกอบด้วยพระนารายณ์ทรงครุฑอยู่เบื้องล่าง  ถัดมาเป็นพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ  แต่ละองค์อยู่ภายในซุ้มเรือนแก้วแล็กๆ ที่เรียงซ้อนขึ้นไปอีกทีหนึ่ง  ด้ามของพระขรรค์เป็นทองคำลงยาประดับพลอย  ส่วนบนของด้ามทำเป็นลายกลีบบัว  และส่วนบนของกลีบบัวเป็นครุฑแบก  ตรงกลางด้ามทำเป็นลายหน้าสิงห์ก้านแย่ง  และที่สันด้ามทำเป็นเทพพนมซ้อนกันในรูปของหัวเม็ด  ฝักทองคำลงยาที่โคนและปลายฝัก  ส่วนลายตรงกลางนั้นเป็นเงินฉลุประดับพลอย

         

ธารพระกร  มีลักษณะดังนี้  ตัวธารพระกรเป็นไม้ชัยพฤาษ์ปิดทอง  ปลายทั้งสองข้างเป็นเหล็กคร่ำทองข้างหนึ่ง  และเป็นซ่อมข้างหนึ่ง  ของเดิมทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ปิดทอง  หัวและส้นเป็นเหล็กคร่ำทองที่สุดส้นเป็นซ่อมลักษณะเหมือนกับไม้เท้าพระภิกษุ  ที่ว่าใช้ในการชักมหาบังสุกุล  ธารพระกรองค์นี้มีชื่อเรียกว่า  ธารพระกรชัยพฤกษ์  ครั้นถึงรัชกาลที่ 4 ทรงสร้างธารพระกรองค์ใหม่องค์หนึ่งด้วยทองคำ ภายในมีพระแสงเสน่า (ศาสตราวุธคล้ายมีดใช้ขว้าง) ยอดมีรูปเทวดา เรียกว่า ธารพระกรเทวรูป แต่ที่แท้ลักษณะเป็นพระแสงดาบมากกว่าธารพระกร และทรงใช้แทนธารพระกรชัยพฤกษ์  ครั้งตกถึงรัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯ ให้กลับเอาธารพระกรชัยพฤกษ์ออกใช้อีก และคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน

          ธารพระกรนี้  ไทยได้ถือเอามาแทนฉัตร  หรือพระมหาเศวตฉัตร  ซึ่งเป็นฉัตรผ้าขาว 9 ชั้น  มีระบายขลิบทองแผ่ลวด  และมียอดเป็นราชกกุธภัณฑ์  ของพระมหากษัตริย์  มีที่ใช้คือ ปักที่พระแท่นราชอาสน์ราชบัลลังก์  กางกั้นเหนือพระแท่นที่บรรทม  ปักพระยานมาศ  และแขวงกางกั้นพระโกศทรงพระบรมศพเป็นต้น  แต่โบราณมาไทยถือเศวตฉัตรเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด  เศวตฉัตร  หมายถึง  ว่าเป็นพระราชามหากษัตริย์เช่นเดียวกับมงกุฎของชาวยุโรป

          การเปลี่ยนจากพระมหาเศวตฉัตรมาเป็นธารพระกรนั้น  คาดว่าเนื่องมาจากการใช้วิธียื่นถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์  ขณะที่ฉัตรเป็นของใหญ่โตและมีปักอยู่เหนือภัทรบิฐอยู่แล้ว  จึงเปลี่ยนเป็นธารพระกรและในรัชกาลที่ 4 ได้โปรดเกล้าฯให้เอาฉัตรพระคชาธารมายื่นถวายได้  ทำเช่นนั้นต่อมาถึงรัชกาลที่ 6 จึงได้โปรดเกล้าฯให้ทำฉัตร 9 ชั้นเล็กขึ้นถวายด้วย  สำหรับฉัตรพระคชาธารมีเพียง 7 ชั้น

 

ฉลองพระบาท  คือ  ฉลองพระบาทเชิงงอน  ซึ่งมีน้ำหนัก 650 กรัม  เป็นราชกกุธภัณฑ์สำคัญองค์หนึ่งตามแบบอินเดียโบราณ  ในทศรถชาดกซึ่งเป็นต้นฉบับโบราณของนิทานพระราม  เล่าว่า  เมื่อพระภรตไปวิงวอนพระรามในป่าให้กลับมาทรงราชย์นั้น  พระรามไม่ยอมกลับ  จึงประทานฉลองพระบาทซึ่งพระภรตเชิญมาประดิษฐานไว้แทนองค์พระราม  บนราชบัลลังก์ในกรุงอโยธยา

          ฉลองพระบาทนี้ทำด้วยทองคำทั้งองค์  ที่พื้นภายในบุกำมะหยี่  ลวดลายเป็นทองคำสลัก  ประดับพลอยและทองคำลงยา  สีแดง,เขียว,ขาว,ลายช่อหางโต  ใบเทศ  ปลายฉลองพระบาททำงอนขึ้นไป  มีส่วนปลายเป็นทรงมณฑป

 

          อย่างไรก็ดีจะเห็นได้ว่าเบญจราชกกุธภัณฑ์ทุกองค์ล้วนมี “ทองคำ” เป็นองค์ประกอบสำคัญทั้งสิ้น! “ทองคำ” แร่ธาตุทรงคุณค่า

          กล่าวได้ว่า “ทองคำ” เป็นแร่ธาตุที่มีคุณค่า หายาก และด้วยองค์ประกอบ ทั้งสีสันเหลืองอร่ามงดงามมีคุณสมบัติที่สามารถดัดแปลงไปเป็นรูปทรงต่างๆ มากมาย และถูกสรรค์สร้างให้เป็นเครื่องประดับที่มีลวดลายวิจิตรบรรจง ยิ่งเมื่อนำมาประกอบกับอัญมณีไม่ว่าจะเป็น เพชร พลอย ฯลฯ หรือเทคนิคในการลงยา  รวมถึงการสร้างสรรค์ด้วยลวดลายที่วิจิตรบรรจง  ก็ทำให้ทองคำกลายเป็นสิ่งของที่สูงด้วยคุณค่า…มากด้วยราคา

          เมื่อพลิกย้อนดูประวัติศาสตร์ทองคำ  ว่ากันว่าคนไทยรู้จักทองคำมานานนับตั้งแต่สมัยสุโขทัย  โดยเฉพาะในสมัยอยุธยา “ทองคำ” ได้กลายเป็นโลหะที่ถูกนำมาใช้มาก  ทั้ง ๆ ที่ไม่มีแหล่งกำเนิดในประเทศไทยมากนัก เช่นในสมัยรัชการที่ 4 พบสายแร่ทองคำที่บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์  และในสมัยรัชการที่ 5 พบสายแร่ทองคำที่ จ.ปราจีนบุรี  และอาจจะมีที่อื่นบ้างเล็กน้อยแต่ไม่ใช่แหล่งใหญ่ของโลก  แต่เนื่องจากเป็นทางผ่านของย่านการค้าสำคัญของ 2 ประเทศใหญ่ คือจีนและอินเดีย  เมื่อการค้ามากขึ้นเศรษฐกิจดี  บรรดาข้าวของมีค่า เครื่องประดับ  ของตกแต่ง  ของสวยงาม  จึงถูกนำเข้ามามากมาย

          ดังนั้นตลอดระยะเวลา 400 ปี  ที่อยุธยาเป็นราชธานี  ได้มีการสั่งสมแก้ว แหวน เงิน ทอง จนกลายเป็นเมืองที่ร่ำรวยทรัพย์สินที่มีค่า  และกลายเป็นที่หมายปองของประเทศรอบด้าน

          ด้วยความสำคัญของ“ทองคำ”ดังกล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่า ทองคำเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งของที่ล้ำค่า  ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและเลยไปจนถึงอนาคต…

 

 

ที่มา : วารสารทองคำฉบับที่3

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetuer adipiscing elit, sed diam nonummy nibh euismod tincidunt ut laoreet dolore magna aliquam erat volutpat.