ณ วันที่ 31/10/2567
สภาทองคำโลก หรือ World Gold Council รายงานความต้องการทองคำ (Gold Demand Trends) ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 โดยระบุถึงความต้องการทองคำของผู้บริโภค (Consumer Gold Demand) ในประเทศไทยที่สูงที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียนต่อเนื่องมาสองไตรมาสแล้ว
โดยพุ่งสูงขึ้น 11% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา คิดเป็นปริมาณ 14.5 ตัน ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 ขณะเดียวกัน ปริมาณความต้องการทั่วโลกก็ยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยมีปริมาณความต้องการทองคำทั้งหมด จากทุกภาคส่วนเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าอยู่ที่ระดับ 1,313 ตัน
แม้ว่าความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำทั่วโลกได้ลดลง 9% แต่ความต้องการของประเทศไทยกลับสวนกับทิศทางในระดับโลกและเติบโตเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยมีจำนวนอยู่ที่ 12.1 ตัน สำหรับในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 และนับเป็นประเทศที่มีความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำสูงเป็นอันดับที่สองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำทั่วโลกในปีนี้ยังคงอยู่ที่ระดับ 859 ตัน ซึ่งถือว่ายังคงเป็นระดับที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 10 ปี ซึ่งอยู่ที่ปริมาณ 774 ตัน
คุณเซาไก ฟาน (Shaokai Fan) หัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมประเทศจีน) และหัวหน้าธนาคารกลางระดับโลกของสภาทองคำโลก กล่าวว่า “ความต้องการทองคำผู้บริโภคในประเทศไทยมีความแข็งแกร่ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการประกาศเริ่มโครงการ ‘ดิจิทัล วอลเล็ต’ ที่รอคอยกันมานาน ซึ่งได้รวมการแจกเงินรูปแบบของเงินสดที่ช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจในท้องถิ่น รัฐบาลได้เริ่มดำเนินโครงการนี้ในช่วงปลายไตรมาสที่ 3 ซึ่งอาจช่วยสนับสนุนความต้องการทองคำในไตรมาสที่ 4 ได้”
คุณเซาไก กล่าวเสริมอีกว่า “ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ความกังวลทางการเมืองและเศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงการคาดการณ์ว่าราคาทองคำจะพุ่งสูงขึ้น ได้กระตุ้นความต้องการทองคำของนักลงทุนในประเทศในกลุ่มอาเซียนในไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา โดยทั้งประเทศไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ต่างก็มีการเติบโตในระดับตัวเลขสองหลักเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยซึ่งความต้องการทองคำผู้บริโภคยังคงมีการเติบโตสูงที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียนติดต่อกันถึงสองไตรมาส”
ในส่วนของธนาคารกลาง ได้มีการซื้อทองคำชะลอตัวลงในไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ระดับความต้องการยังคงแข็งแกร่งอยู่ที่ปริมาณ 186 ตัน โดยยอดความต้องการทองคำของธนาคารกลางตลอดทั้งปีจนถึงปัจจุบันรวมกันอยู่ที่ระดับ 694 ตัน สอดคล้องกับระดับปริมาณในช่วงเดียวกันของปี 2565 ราคาทองคำยังคงพุ่งสูงต่อเนื่องเป็นประวัติการณ์ในไตรมาสนี้
โดยมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 2,474 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งส่งผลกระทบเชิงลบต่อระดับความต้องการทองคำเครื่องประดับทั่วโลก และทำให้การบริโภคทองคำเครื่องประดับลดลง 12% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าหากพิจารณาในแง่ของปริมาณทองคำ แต่หากมองในเชิงมูลค่ากลับพบว่ามีการเติบโต 13% สิ่งนี้อาจแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยินดีจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อซื้อผลิตภัฒฑ์ทองคำในปริมาณที่น้อยลง
นอกจากนี้ ความต้องการทองคำในภาคเทคโนโลยีได้เติบโตขึ้น 7% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตในภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากการเติบโตของเทคโนโลยี AI ที่ยังคงสนับสนุนความต้องการทองคำอย่างต่อเนื่อง ด้านอุปทานทองคำในไตรมาสนี้มีปริมาณรวมทั้งหมดสูงขึ้น 5% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งเกิดจากการเติบโตของการผลิตทองคำเหมืองแร่ที่เพิ่มขึ้น 6% และปริมาณการรีไซเคิลทองคำที่สูงขึ้น 11%
คุณหลุยส์ สตรีท (Louise Street) นักวิเคราะห์การตลาดอาวุโส ของสภาทองคำโลก กล่าวว่า “ปัจจัยของ ‘ความกลัวว่าจะพลาดโอกาส’ ในหมู่นักลงทุนถือเป็นสิ่งสำคัญที่ผลักดันให้ปริมาณความต้องการทองคำสูงขึ้นในไตรมาสนี้ นักลงทุนได้แสดงความสนใจซื้อทองคำเนื่องจากแนวโน้มด้านราคา และสนับสนุนด้วยแนวโน้มของการลดอัตราดอกเบี้ยที่คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากนี้นักลงทุนยังได้มองบทบาทของทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองสหรัฐฯ และความขัดแย้งที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลาง”
คาดว่าในอนาคตการเปลี่ยนแปลงในกระแสการลงทุนทองคำยังคงเป็นแนวโน้มที่น่าจะเกิดขึ้นต่อไป โดยเราก็ได้เห็นกันไปแล้วว่า ในปี 2567 ราคาทองคำพุ่งทำสถิติใหม่มามากกว่า 30 ครั้ง ซึ่งสภาวะนี้จะถือว่าเป็นความท้าทายสำหรับผู้บริโภคอย่างมาก อย่างไรก็ดี โอกาสในการเติบโตทางเศรษฐกิจก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะจับตามอง เพราะอาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มทิศทางของทองคำได้