ประชาคมอาเซียน ผลกระทบต่อธุรกิจและกลยุทธ์เพื่อความอยู่รอดของประเทศไทย1

ณ วันที่ 04/02/2556

 

ประชาคมอาเซียน ผลกระทบต่อธุรกิจและกลยุทธ์เพื่อความอยู่รอดของประเทศไทย ตอนที่ 1

ความเป็นมาของประชาคมอาเซียนและแนวโน้มในอนาคต

     เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า ก่อนที่จะมีการกล่าวขานกันเรียกว่ากลุ่มประชาคมอาเซียนนั้น เดิมทีได้มีการรวมตัวของกลุ่มประเทศเหล่านี้ภายใต้ชื่อเรียกอื่นว่าสมาคมอาเซียนกันมาก่อน ซึ่งกลุ่มประเทศเหล่านี้ได้ประเทศทั้ง 10 ประเทศในปัจจุบัน ทั้งนี้เดิมทีการดำเนินการจัดตั้งสมาคมอาเซียนนั้นจัดตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.. 2510 ซึ่งในระยะเริ่มแรกนั้น ประเทศไทยและประเทศอื่นๆ อีก ประเทศ เป็นแกนนำรวมทั้งหมด เป็น ประเทศ ซึ่งประกอบไปด้วย ไทย สิงค์โปร์ อินโดนีเซียมาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ต่อมามีประเทศบรูไน เวียตนาม ลาว พม่า และกัมพูชาได้เข้ามาร่วมสมทบรวมเป็น 10 ประเทศ ดังที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน และในอนาคตอันใกล้ คาดว่าอาจจะมีประเทศอื่นๆอีก ประเทศ หรืออีก ประเทศเข้ามาร่วมด้วย ประเทศเหล่านี้ประกอบไปด้วย จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ดังที่เรียกขานกันในนาม กลุ่ม ASEAN +3 หรือ ASEAN + 6 กันตามลำดับ และเมื่อเป็นเช่นนั้นในอนาคต ประชาคมอาเซียนจะกลายเป็นกลุ่มประชาคมที่มีประชากรจำนวนมากกว่าครึ่งหนึ่งของโลก หรือประมาณ 3,284 ล้านคนและทำให้เป็นการรวมกลุ่มที่มี สภาพเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่โตมากกว่าการรวมกลุ่มของภูมิภาคอื่นๆ ในโลก ดังที่มีผู้รู้หลายท่านได้กล่าวว่าจะเท่ากับประมาณ 22% ของ GDP ของโลกทีเดียว

     ในระยะแรกของการเป็นสมาคมอาเซียน ผู้นำในประเทศเหล่านี้ก็ได้ให้ความร่วมมือกันอย่างเต็มที่ในด้านต่างๆ จนกระทั่งในเดือนตุลาคม ปี พ..2546 ได้มีการเห็นพ้องต้องกันว่าถึงเวลาแล้วที่กลุ่มประเทศทั้ง 10 นี้ น่าจะเสริมสร้างความแข็งแกร่งในด้านต่างๆ ให้ทัดเทียมกับการการรวมกลุ่มในภูมิภาคอื่นๆ เช่น สหภาพยุโรป อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ฯลฯ ดังนั้นผู้นำของแต่ละประเทศจึงตกลงใจลงนามในปฎิญญาว่าด้วยความร่วมมืออาเซียน หรือข้อตกลงบาหลี” ให้จัดตั้ง ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) ขึ้นและมีเป้าหมายที่อยากจะให้สำเร็จเป็นชุมชนหรือประชาคมเดียวกัน ให้สำเร็จภายในปี พ..2563 หรือปี ค.. 2020 ซึ่งนับเป็นกำหนดเวลาเดิม

     ต่อมา ในการประชุม ASEAN SUMMIT ครั้งที่ 12 ที่ประเทศฟิลิปปินส์เหล่าผู้นำในชาติต่างๆ ได้เล็งเห็นว่าหากการรวมตัวกันตามกำหนดเดิมอาจไม่ได้รับผลดีเท่าที่ควรโดยเฉพาะความร่วมมือช่วยเหลือระหว่างกันและกันในด้านต่างๆ จึงตกลงร่นระยะเวลาให้เร็วขึ้นทั้งนี้ เนื่องจากปัจจุบันซีกโลกต่างๆ กำลังมีสภาพมีการแข่งขันที่รุนแรงทั้งทางด้านเศรษฐกิจและในด้านอื่นๆ หากล่าช้าไป การรวมกลุ่มจะได้รับผลสำเร็จตามเป้าประสงค์ที่น้อยลงและประกอบกับในปัจจุบันอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจของบางประเทศสูงมาก เช่น จีนและอินเดีย ซึ่งประชาคมอาเซียนซึ่งอยู่ใกล้ชิดสามารถที่จะแสวงหาประโยชน์และความร่วมมือในด้านต่างๆ ได้ทันเหตุการณ์ ดังนั้นผู้นำทั้ง 10 ประเทศจึงตกลงให้ร่นเวลาให้แล้วเสร็จในปี 2558 หรือ ค.. 2015 และเพื่อที่จะให้การรวมกลุ่มประชาคมอาเซียนเป็นจริง ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 14 ที่ อำเภอชะอำ และหัวหิน เมื่อ มีนาคม 2552 ผู้นำทั้ง 10 ประเทศจึงได้ลงนามรับรองปฎิญญาชะอำ หัวหิน ว่าด้วยแผนงานจัดตั้งประชาคมอาเซียนภายในปี 2558 อีกครั้งหนึ่งเพื่อที่จะให้เป็นข้อตกลงและเป็นข้อกำหนดให้แต่ละประเทศรับไปดำเนินการให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว

     ปัจจุบันกลุ่มประเทศอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ มีประชากรรวมกันประมาณ 580 ล้านคน ซึ่งนับว่าจะเป็นกลุ่มประชาคมที่มีขนาดใหญ่พอสมควร และมีความสำคัญทางการค้า การลงทุน เศรษฐกิจ ความมั่นคงทางการเมืองการปกครอง ตลอดจนการร่วมมือเสริมสร้างความมั่นคงและความร่วมมือช่วยเหลือกันทางสังคมวัฒนธรรม ที่พึงพาซึ่งกันและกันในอนาคต

องค์ประกอบหลักของประชาคมอาเซียน

     ในประเทศไทย เรามักจะได้ยินได้ฟังอยู่เสมอว่าประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนมีความสำคัญ มีผลกระทบในด้านต่างๆกันมาพอสมควร จนทำให้เกิดความเข้าใจไขว้เขวกันว่าการจัดตั้งประชาคมอาเซียนจะมีแต่ด้านเศรษฐกิจหรือเศรษฐกิจเป็นแกนนำแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นหรือ แต่อันที่จริงแล้วองค์ประกอบหลักของประชาคมอาเซียนที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกสามปี ..2558) นั้น จะประกอบไปด้วยแกนหลักๆ ด้านด้วยกัน ซึ่งจะเรียกว่า เสาหลักก็ว่าได้ และองค์ประกอบหลักๆ ทั้ง ทั้งสามส่วนนี้ ประกอบไปด้วยด้วย 1.ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political Security Community –(APSC) 2.ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community – (AEC) และ 3.ประชาคมสังคมและวัฒนธรรม (ASEAN Socio-Cultural Community (ASCC))

พันธกิจและเป้าหมายของแต่ละด้าน

     พันธกิจสำคัญของประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political Security Community (APSC)) นั้น จะเกี่ยวข้องกับ การมุ่งให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ การจัดให้มีระบบการจัดการการขัดแย้งระหว่างกันและกัน การส่งเสริมให้มีเสถียรภาพด้านการเมืองและความมั่นคง และการมีกรอบความร่วมมือเพื่อรองรับภัยคุกคามความมั่นคงทั้งรูปแบบเดิมและรูปแบบใหม่ๆ เพื่อให้ประชาคมมีความปลอดภัยและมั่นคง

     ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community – AEC)นั้นมีเป้าหมายที่จะมุ่งให้เกิดการรวมตัวทางเศรษฐกิจ และการอำนวยความสะดวกในการติดต่อค้าขายระหว่างกัน อันจะทำให้เกิดความมั่งคั่ง ภูมิภาคมีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ สามารถแข่งขันกับภูมิภาคอื่นๆ ได้ และเพื่อความกินดีอยู่ดีของประชาชนในประเทศอาเซียน รวมทั้งมุ่งให้เกิดการไหลเวียนอย่างเสรีของ สินค้า การบริการ การลงทุน เงินทุน การพัฒนาทางเศรษฐกิจและลดปัญหาความยากจน และความเลื่อมล้ำทางสังคมภายในปี 2020 เรียกได้ว่าเน้นหนักไปในด้านเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนเป็นสำคัญ ทำให้อาเซียนเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียว (single market and production base) อีกทั้งการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศสมาชิกใหม่ของอาเซียนเพื่อลดช่องว่างของการพัฒนา และช่วยเหลือให้ประเทศเหล่านี้เข้าร่วมกระบวนการการรวมตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียน ประการสุดท้ายส่งเสริมความร่วมมือในนโยบายการเงินและเศรษฐกิจมหภาค ตลาดการเงินและตลาดทุน การประกันภัยและภาษีอากร การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคม การพัฒนาความร่วมมือทางด้านกฎหมาย การเกษตร พลังงาน การท่องเที่ยว การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยยกระดับการศึกษาและการพัฒนาฝีมือแรงงานให้พัฒนาขึ้น

     ส่วนองค์ประกอบของประชาคมอาเซียนองค์สุดท้าย ประชาคมสังคมและวัฒนธรรม (ASEAN Socio-Cultural Community (ASCC)) นั้นมีจุดประสงค์เพื่อให้ประชาชนของแต่ละประเทศอยู่ร่วมกันภายใต้แนวคิดสังคมที่เอื้ออาทร มีสวัสดิการทางสังคมที่ดีและมีความมั่นคงทางสังคม ยกคุณภาพชีวิตของผู้ด้อยโอกาสหรือไร้โอกาส ขจัดความยากจนส่งเสริมการเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน มีมาตรฐาน คุณภาพ สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างกันลดความเสี่ยงทางสังคมของ เด็ก สตรี ผู้สูงอายุและคนพิการ ให้การดูแลด้านสาธารณสุข การศึกษา และอื่นๆ ส่งเสริมให้สตรีและเยาวชนเข้ามามีส่วนร่วมในตลาดแรงงาน ด้วยการฝึกทักษะ ให้ความรู้ รวมทั้งทั้งการเข้าถึงสินเชื่อขนาดย่อม และระบบข้อมูลได้ง่ายขึ้น แก้ไขปัญหาด้านการพัฒนาระบบสาธารณสุข ให้ดีขึ้น เสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหาร ป้องกันอันตรายจากการแพร่กระจายของโรคร้ายแรง เช่น โรคเอดส์ และโรคอื่นๆ เช่น ไข้หวัดนก วัณโรค เป็นต้น ป้องกันปัญหายาเสพติด และพยายามทำให้ประชาคมอาเซียนเป็นภูมิภาคที่ปลอดจากภัยคุกคามเหล่านี้

     ดังนั้น จึงเป็นที่ยอมรับกันในประเทศไทยว่า ประชาคมอาเซียนที่จะมาถึงในปี พ.. 2558 นั้นจะมีความสำคัญ และมีผลกระทบกับทุกภาคส่วนในด้านต่างๆ กันมากพอสมควร โดยเฉพาะที่มีการเน้นย้ำกันเป็นพิเศษ เห็นจะได้แก่ด้านเศรษฐกิจอาเซียน หรือ ASEAN Economic Community – AEC และสิ่งนี้ทำให้ทุกภาคส่วนของธุรกิจในประเทศไทยต่างหวั่นไหวไปกันตามๆ แม้ว่าอันที่จริงแล้ว องค์ประกอบหลักของประชาคมอาเซียนที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกสามปีนั้น จะประกอบไปด้วยแกนหลักๆ ด้านด้วยกัน ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น แต่ดูเหมือนคนจะลืมอีกสองเสาหลักไปอย่างสิ้นเชิง

     แต่เมื่อมีผู้กล่าวขวัญกันอยู่เสมอโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community – AEC) ซึ่งเป็นเสาหลักหนึ่งในสามเสากันมามาก ผู้เขียนใคร่ขอแสดงข้อคิดเห็นบทวิเคราะห์ให้เห็นถึงผลกระทบทางด้านนี้เสียเลย ทั้งในด้านบวกและด้านลบที่จะมีต่อประเทศไทย เพื่อความกระจ่างว่าผลกระ-ทบที่อาจเกิดขึ้น จะมีสิ่งใดบ้างที่ประเทศไทยจะได้รับผลดีและผลเสียในวันข้างหน้า

 

โดย รศ.ดรจุฑาเทียนไทย

คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

ที่มา : วารสารทองคำ ฉบับที่ 36
พิมพ์แจก สมาชิกสมาคมค้าทองคำ ทั่วประเทศ